บทความวังสราญรมย์เวทีการต่อสู้ทางการทูตของไทย




หิรัญ สุวรรณเทศ : ถ่ายภาพ
พระราชวังสราญรมย์ สร้างขึ้นในปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2409 เพื่อจะใช้เป็นที่ประทับของพระองค์ เมื่อมอบราชสมบัติให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว แต่พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้พระราชวังสราญรมย์เป็นที่ทำการของกระทรวงการต่างประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๘ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กรมหมื่นเทวะวงศ์วโรปการเป็นเสนาบดีว่าการต่างประเทศคนแรก อีกทั้งพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการแต่งตั้งราชทูตไทยไปประจำในราชสำนักต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่แทนในการเจรจากับมหาอำนาจจักรวรรดินิยมตะวันตก ที่กำลังแข่งขันกันอย่างเต็มที่ขยายอิทธิพลเข้ามาสู่ภูมิภาคนี้รวมทั้งประเทศไทยด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อังกฤษได้ส่ง ร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี เข้ามาทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับสยามในปี พ.ศ.2369 (ค.ศ.1826) ที่เรียกกันว่า “ สนธิสัญญาเบอร์นี่ ” และในโอกาสนี้ อังกฤษได้ขอกองกำลังของไทยไปช่วยอังกฤษรบกับพม่าด้วย และต่อมา ไทยได้จัดส่งกองกำลังไปช่วยตามที่อังกฤษได้ร้องขอ ครั้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อังกฤษได้ส่ง เซอร์ จอห์น เบาริง พร้อมเรือรบลำหนึ่งเข้ามาเจรจาขอแก้ไขหนังสือสัญญาทางการค้ากับสยามที่ได้ทำไว้ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นการณ์ไกล ว่า อังกฤษคงต้องใช้กำลังบังคับให้ไทยต้องลงนามเพื่อแก้ไขหนังสือสัญญาดังกล่าวอย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ประเทศไทยมีกำลังน้อย การดำเนินนโยบายลู่ตามลมโดยการโอนออ่นผ่อนตามเท่าที่จำเป็นต่อมหาอำนาจตะวันตก จะช่วยรักษาอำนาจอธิปไตย ความอยู่รอดและความมั่นคงของประเทศได้ พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริว่า ทางที่จะทำให้ประเทศไทยปลอดภัยได้มีทางเดียว คือต้องรับทำหนังสือสัญญาโดยดีให้เกิดมีไมตรีจิตต่อกัน แล้วจึงค่อยชี้แจงกันฉันมิตร ให้ลดหย่อนผ่อนผันข้อสัญญาในภายหลัง เพื่อไม่ให้เกิดยุคเข็ญแก่บ้านเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ลงนามในหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างอังกฤษกับสยามในปี พ.ศ.2398 (ค.ศ.1855) เป็นผลให้ไทยต้องยกเลิกภาษีปากเรือและเก็บภาษีขาเข้าในอัตราร้อยละ 3 และต้องให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่คนในบังคับอังกฤษโดยไม่ต้องขึ้นศาลไทย ซึ่งคนไทยเรียกหนังสือสัญญาฉบับนี้ว่า “สนธิสัญญาเบาริง” และต่อมา ได้นำหนังสือสัญญาฉบับนี้มาเป็นแบบในการทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี กับประเทศอื่นๆอีก 13 ประเทศ โดยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงศึกษาทั้งภาษาลาตินและภาษาอังกฤษจากมิชชันนารี จนทรงใช้ภาษาทั้งสองได้เป็นอย่างดี ทำให้พระองค์สามารถติดตามข่าวเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษได้อย่างต่อเนื่อง จนพระเกียรติยศเลื่องลือไปยังนานาประเทศ แม้พระสหายชาวต่างประเทศของพระองค์หลายคน ก็คอยให้ความรู้ ให้คำปรึกษาแนะนำ แก่พระองค์อยู่เสมอ ทำให้ทรงมีพระปรีชาสามารถในการที่จะติดต่อสัมพันธ์กับมหาอำนาจตะวันตก เพื่อที่จะให้ไทยรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศจักรวรรดิ์นิยมได้ พระองค์ทรงเห็นว่า นอกจากการทำหนังสือสัญญากับประเทศมหาอำนาจตะวันตกแล้ว การปรับประเทศให้ทันสมัย “ รู้จักและส้องเสพย์กฏหมายและอย่างธรรมเนียมอันดีๆ ในบ้านเมือง” เป็นวิธีการหนึ่งเพื่อที่จะตอบโต้ภัยจากจักรวรรดินิยมตะวันตกได้ พระองค์ได้ทรงเห็นตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินเดีย พม่า ลาว เขมร มลายู และบางส่วนของจีน ว่าการตอบโต้กับประเทศจักรวรรดินิยมอย่างแข็งกร้าว ภัยจะต้องตกมาถึงตัว และต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจตะวันตกในที่สุด พระองค์จึงได้ทรงตัดสินพระทัยส่งคณะราชทูตไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียของอังกฤษเมื่อ ปี พ.ศ.2400 โดยมีพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูตและส่งคณะราชทูตไปเข้าเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ของฝรั่งเศส มีพระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) เป็นราชทูต นอกจากคณะราชทูตได้เดินทางไปเข้าเฝ้าเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงแนะนำให้คณะราชทูตแสวงหาความรู้และวิชาการ สมัยใหม่กลับมายังประเทศไทยด้วย และต่อมาในปี พ.ศ.2410 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น เบาริ่ง เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มฝ่ายไทยประจำยุโรปคนแรกเพื่อเจรจาหาทางผ่อนคลายขจัดปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศที่กำลังคุกคามไทยอยู่ในขณะนั้น

พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานหนังสือให้อ่านเสนอที่ประชุมตลอดแล้ว มีพระราชดำรัสว่า หนังสือที่อ่านนี้ เปนเนื้อความในสัญญาแลคำแก้ข้างฝ่ายเขา เพื่อให้คนของเขาเข้าใจ บัดนี้ จะได้อธิบายให้ฝ่ายเราทราบว่า เหตุใดจึงได้ยอมทำสัญญานี้ลงไปเช่นนี้ ขั้นต้นต้องเข้าใจว่า พระราชอาณาเขตรของกรุงสยามมีสองชั้น คือหัวเมืองชั้นใน กับชั้นนอก ฤาประเทศราช ส่วนการปกครองแต่ก่อนๆมา ด้วยเหตุที่ทางไปมาลำบากมาก จึงได้ปล่อยให้หัวเมืองชั้นนอก เปนประเทศราชปกครองตนเอง เปนแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการ เพราะชนั้นกรุงเทพฯ ไม่ได้ผลประโยชน์อันใดจากหัวเมืองประเทศราช นอกจากบรรณาการเท่านั้นในระหว่างที่ไทยกำลังหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆกับฝรั่งเศสอยู่นั้น ไทยยังคงมีปัญหากับอังกฤษ คืออำนาจอธิปไตยของไทยเหนือรัฐมลายูตอนบน และปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสสิงคโปร์ เมื่อปี พ.ศ.2413 (ค.ศ.1870)ข้าหลวงใหญ่ของสหพันธรัฐมลายู ได้กราบทูลเป็นนัยว่า อังกฤษใคร่จะได้ดินแดนหัวเมืองมลายูจากไทยด้วยอังกฤษเกรงว่าเยอรมันซึ่งกำลังมีบทบาททางด้านเศรษฐกิจในประเทศไทยในขณะนั้น อาจจะขยายอิทธิพลเข้าไปในแหลมมลายู ต่อมา อังกฤษจึงขอเจรจาลับกับไทยซึ่งนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาลับไทย-อังกฤษ ฉบับลงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2440(ค.ศ.1897) ว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมให้ชาติหนึ่งชาติใด เช่า เช่าซื้อ หรือถือกรรมสิทธิเหนือดินแดนไทยตั้งแต่ตำบลบางสะพาน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ลงไปโดยมิได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอังกฤษ โดยอังกฤษตกลงว่าจะให้ความคุ้มครองทางทหารแก่ไทยในกรณีถูกรุกรานจากชาติอื่น แต่อังกฤษก็มิได้ปฏิบัติตามสัญญานี้เลย เมื่อฝรั่งเศสเรียกร้องดินแดนของไทยบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง อังกฤษกลับแนะนำให้ไทยปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส และอังกฤษกลับไปทำสนธิสัญญาฉันทมิตรกับฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2446 (ค.ศ.1904)ไทยจึงต้องยอมลงนามในหนังสือสัญญาสยามกับฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2446(ค.ศ.1904)
ต่อมาเราได้จัดการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ก็ได้ทันแต่มณฑลพายัพมณฑลเดียว ด้วยเหตุว่ามีเหตุเกิดขึ้นก่อนมณฑลอื่นๆ คือเรื่องป่าไม้ กับเปนมณฑลที่ตั้งอยู่ในลำแม่น้ำอันเดียวกันกับกรุงเทพฯ พอจะทำการได้ง่าย จึงคิดแลจัดการเอิบเอื้อมเข้าไปปกครอง ก็ได้ไว้ทั้งมณฑลเมื่อได้จัดการในมณฑลพายัพแล้ว ก็ได้จัดการทางหัวเมืองลาวแถบลำน้ำโขง คือได้จัดการเดินออกไปจนข้ามฟากโขงไปฝั่งโน้น แต่เปนหัวเมืองที่ติดต่อกับอาณาเขตรเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ฝ่ายเรามีกำลังน้อยกว่า จึงไม่สำเร็จแลซ้ำขาดทุนพระราชอาณาเขตรไปด้วย อาณาเขตรของเราทางนั้น จึงหดเข้ามาอยู่เพียงในฟากโขงฝั่งนี้ฝ่ายทางแหลมมลายู ก็ได้จัดการอย่างเดียวกัน แต่เราเดินไปได้เพียงมณฑลปัตตานี ถึงแม้ยังไม่ได้ประกาศรวมเป็นกรุงสยามก็จริง แต่ก็เหมือนรวมแล้ว แต่เมืองตรังกานูนั้น ได้มีสัญญากับอังกฤษไว้แต่แรกว่า เราจะไม่เกี่ยวข้อง ฝ่ายเมืองไทรเปนเมืองที่เราตีได้ แต่เราปกครองเองไม่ได้ จึงให้แขกปกครองตัวเองเปนประเทศราชการที่เกี่ยวข้องกันในชั้นหลังมานี้ ก็เพราะหัวเมืองเหล่านี้ อยู่ใกล้เขตรแดนอังกฤษมากขึ้น ผลประโยชน์ถึงกันเข้า ฝ่ายอังกฤษยกเหตุกล่าวว่า เราปกครองไม่พอตามทางความคิดระวังของเขาว่า ถ้าต่างประเทศชาติใดชาติหนึ่งที่มีอำนาจ จะมาขอเช่าที่ดินในตัวเมืองเหล่านี้ ซึ่งเราจะห้ามก็ไม่ได้แล้ว จะเปนการเสียประโยชน์ของเขา เมื่อเขาเห็นช่องทางมีอยู่ดังนี้ จึงเคี่ยวเขญขอให้เราทำสัญญาว่า ถ้าจะอนุญาตที่ดินในแหลมมลายูแก่ใคร ต้องให้อังกฤษทราบก่อน สัญญาฉบับนี้เปนสัญญาลับครั้นเกิดความเรื่องเมืองกลันตัน อนุญาตคอนเซสชั่นให้แก่สมิเตอรดัฟฟ เราไม่รับว่าเปนสัญญา เพราะเราไม่รู้เห็นด้วย อังกฤษกลับเข้าถือท้าย แลว่าถ้าเราจะปกครองก็ขอให้ทำสัญญา แลขอให้มีข้าหลวงออกไปปกครอง การที่จะปกครองนั้น ถ้าแต่ลำพังเรา อังกฤษไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เราจะทำอย่างไรก็ได้ แต่นี่เปนการขัดข้องที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่ถ้ามีเหตุการณ์อะไรขึ้น อังกฤษคงถือว่าเราเปนเจ้าของแล้ว มาว่ากล่าวเอากับเราเสมอ แต่ถ้าเราจะห้ามอะไร อังกฤษก็เข้าถือท้ายเช่นเมืองกลันตัน เปนต้น จะเอาโทษเจ้าผู้ครองเมืองก็ไม่ได้ เปนการครึ่งๆกลางๆ อยู่เช่นนี้ มีแต่จะก่อให้เกิดความลำบากแก่เราฝ่ายเดียวเพราะฉนั้น ในการที่ตัดพระราชอาณาเขตรแหลมมลายู ครั้งนี้ ส่วนที่เปนของเราแท้ กล่าวคือมณฑลปัตตานี เราจัดการปกครองอย่างหัวเมืองทั้งปวง ส่วนที่จะเอามาปกครองไม่ได้เช่นที่ตัดออกไปนี้ ก็นับวันแต่จะเหินห่างจากเราไปทุกที่ในเวลานี้เรายังมีของที่มีราคาอยู่ จึงควรถือเอาราคาอันนี้แลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่น กล่าวคือ อำนาจของอังกฤษที่มีอยู่ในเขตรแดนของเราข้างฝ่ายเหนือแลกับเรื่องศาล จริงอยู่ในเรื่องอำนาจศาล ถ้าจะว่าตามธรรมดา เมื่อเราจัดการศาลเรียบร้อยแลความเปลืองของอังกฤษ ก็ชวนจะให้อังกฤษเลิกศาลเช่นเมืองเชียงใหม่อยู่ แต่ถ้าจะรออยู่จนถึงเวลานั้น เราก็จะต้องทนความยากลำบากอยู่ช้านาน แลราคาของหัวเมืองแขกก็จะตกต่ำลงไปทุกที จึงเห็นว่าแลกเปลี่ยนกันเสียเวลานี้ดีกว่า การที่เสียพระราชอาณาเขตรไปครั้งนี้ ก็เปนที่เสียเกียรติยศมาก เปนที่เศร้าสลดใจอยู่ แต่ครั้งจะเอาไว้ ก็มีแต่จะเกิดความร้อนใจ เพราะอังกฤษมีความปรารถนาแรงกล้า เมื่อเราเห็นว่าจะได้อะไรบ้างแล้ว จึงจัดการเสีย เพื่อจะได้จัดการปกครองให้ทั่วถึงในส่วนที่เปนของเรา เราจะมีอำนาจมากกว่าเมื่อมีเมืองที่ไม่มีอำนาจปกครองพ่วงอยู่ เพราะว่าเมื่อมีอยู่ ก็ต้องปกครองรักษาให้ได้สิทธิขาดจริงๆ ถ้าปกครองไม่ได้สิทธิขาดแล้ว ไม่มีเสียดีกว่า เช่นเมื่อเกิดการโจรผู้ร้ายที่สำคัญขึ้น เราต้องจัดเรือรบไปปราบปรามเปนต้น เปนการที่ต้องเสียเปล่า เพราะเหตุฉะนี้ จึงตกลงทำสัญญาแลกเปลี่ยนคือเลิกสัญญาที่เราถูกอังกฤษกดให้ทำได้หมด นี่เปนไปรส์ที่เราได้อย่างหนึ่ง แต่เปนข้อที่ไม่ได้ลงในสัญญาฉบับนี้เพราะเปนของลับ ในการที่ได้คนในบังคับอังกฤษมาอยู่ในอำนาจของศาลเรานั้น เวลานี้อยู่ข้างลำบาก เพราะต้องจ้างฝรั่งมาเปนผู้พิพากษา โดยที่หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีฯ ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2467 ได้สงวนสิทธิข้อความที่ว่าด้วยการกำหนดเขตแดน และการปักปันเขตแดนให้คงไว้ตามหนังสือสัญญาลงวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 (ค.ศ.1893) ว่าด้วยแนวเส้นเขตแดนในแม่น้ำโขงอนุสัญญาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 (ค.ศ.1905) และหนังสือสัญญาลงวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ว่าด้วยแนวเส้นเขตแดนใน น้ำเหือง ห้วยดอน และแนวเส้นเขตแดนทางบกที่ตกลงกันให้เป็นไปตามสันปันน้ำและเพื่อให้ความตกลงฉบับเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๗ นี้มีความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงนำไปสู่เจรจาและลงนามในอนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเพื่อวางระเบียบความเกี่ยวพันระหว่างสยามกับอินโดจีน ลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.2469(ค.ศ.1926) ระหว่างพระวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าไตรทศประพันธ์เสนาบดีว่าการต่างประเทศสยาม กับท่านอาเลกซังดร วาเรนนผู้สำเร็จราชการแห่งอินโดจีนฝรั่งเศสผลของอนุสัญญาฉบับนี้ได้ตกลงให้กำหนดใช้ร่องน้ำลึกเป็นแนวเส้นเขตแดนในแม่น้ำโขงและได้มีการตกลงแบ่งเกาะดอนในแม่น้ำโขงระหว่างกันอนุสัญญานี้ตกลงให้ตั้ง คณะข้าหลวงใหญ่สยาม-ฝรั่งเศส ประจำแม่น้ำโขงขึ้น เพื่อทำการปักปันเขตแดนในแม่น้ำโขงและวางระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส
จำนวนผู้อ่านบทความ |