มนต์เสน่ห์แห่งมอลตา (หน้า 2)

เมืองราบัด (Rabat)

        คำว่า “ราบัด” เป็นคำที่มาจากภาษาอาราบิค แปลว่าชานเมือง (Suburb) มีผู้อาศัยอยู่ประมาณ 11,000 คน  เมืองราบัดมีอาณาเขตที่ต่อเนื่องกับเมืองเอมดินา ในช่วงสมัยที่อาหรับเข้าปกครองมอลตา พวกอาหรับมีความต้องการที่แบ่งแยกเมืองทั้งสองนี้ โดยการสร้างเป็นเนินสูง   รอบนอกของเมืองเอมดินาเพื่อเป็นการป้องกันเมืองที่มีความรุ่งเรืองอยู่ในช่วงนั้น หลายศตวรรษต่อมา กลุ่มอัศวินได้สร้างคูเมืองและป้อมปราการที่ชันล้อมรอบเมืองเอมดินา ทำให้เห็นการแบ่งแยกอาณาเขตระหว่างเมืองเอมดินาและเขตเมืองราบัดอย่างชัดเจน  ซึ่งคูเมืองและป้อมปราการเก่านี้ยังคงเห็นได้ในปัจจุบัน เมืองราบัดเป็นศูนย์การค้าขายในเขตชานเมืองของเกาะมอลตา ประกอบด้วยธนาคาร ร้านค้า ตลาดและร้านอาหารต่างๆ เมืองนี้มีโบสถ์สำคัญคือ โบสถ์ใหญ่  เซนต์พอล (The St Paul’s Cathedral)

        ในช่วงการปกครองโดยพวกโรมัน มีการนิยมฝังศพของผู้ที่ตายแล้ว แต่เนื่องจากมีการห้ามฝังศพบนดิน ดังนั้นจึงต้องฝังศพกันใต้ดิน ซึ่งถูกจัดเป็นลักษณะ “สุสานใต้ดิน” (Catacombs) ในภายหลังต่อมา สุสานเหล่านี้ยังถูกใช้เป็นที่หลบซ่อนของพวกที่นับถือศาสนาหรือมีความเชื่ออื่นๆ  ที่แตกต่างไปจากผู้ปกครองในสมัยนั้น เพื่อเป็นการหลบหนีจากการถูกฆ่า กล่าวกันว่าภายใต้เมือง ราบัดมีสุสานใต้ดินเป็นระยะทางยาวหลายไมล์ทีเดียว สุสานใต้ดินนี้มีลักษณะเป็นอุโมงค์ที่เป็นหลุมฝังศพ สร้างด้วยหินที่เป็นหินตัด (Stone-cut Tombs) ทั้งหมด มีการแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ และชั้นระดับต่างๆ ที่ซับซ้อนและวกวนมาก สุสานใต้ดินที่น่าสนใจที่ควรกล่าวถึงคือ สุสานใต้ดิน เชนต์พอล (St Paul’s Catacombs)  ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ สุสานแห่งนี้เคยถูกใช้ในช่วงที่อาหรับเข้าครองเกาะมอลตา และเพิ่งถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1894  ตามหลักฐานที่พบนั้น เชื่อว่าสุสานแห่งนี้เกี่ยวข้องกับเซนต์พอล จึงได้มีชื่อว่าสุสานใต้ดินเซนต์พอล ในระยะการสร้างสุสานแห่งนี้เชื่อว่าเป็นเพียงแค่อุโมงค์ใต้ดินที่มีขนาดเล็กเท่านั้น แต่ต่อมาได้มีการขยายอาณาบริเวณออกไปต่อเชื่อมกับอุโมงค์ใต้ดินอื่นๆ ที่มีอยู่ในขณะนั้น จนมีลักษณะเหมือนเขาวงกตที่สลับซับซ้อนมาก และมีอาณาเขตถึงประมาณ 200 ตารางเมตรดังที่เห็นในปัจจุบัน ความสำคัญของสุสานเซนต์พอลนี้ นอกจากจะเป็นสุสานใต้ดินที่มีขนาดใหญ่และกว้างที่สุดในมอลตา และเป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับศาสนาคริสต์แล้ว การค้นพบสุสานนี้ยังทำให้ได้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการฝังศพในสมัยนั้น รวมทั้งพิธีกรรมในช่วงต้นของศาสนาคริสต์ที่เกาะมอลตาอีกด้วย

         ภายในเมืองราบัด ยังมีสุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า สุสานใต้ดินของเซนต์  อากาธา (St Agatha’s Catacombs) ซึ่งได้เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยเช่นกัน ตามคำเล่าขานของคน ในเขตนี้ มีความเชื่อว่าเซนต์อากาธาเดินทางมาที่เกาะมอลตาและหลบซ่อนตัวอยู่ที่สุสานแห่งนี้และกลับไปยังเกาะซิซีลีในภายหลัง สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของสุสานใต้ดินแห่งนี้คือมีภาพวาดสีบนปูนเปียก (fresco paintings) ในสมัยยุคกลางที่มีอยู่รอบภายในสุสาน เนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านไปเป็นเวลานาน จึงเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ภาพสีบนปูนเปียกเหล่านี้ไม่สามารถเห็นได้ชัดในปัจจุบัน

โบสถ์ใหญ่เชนต์จอห์น (St John’s Co-Cathedral)

        โบสถ์ใหญ่เซนต์จอห์นมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของมอลตาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับกลุ่มอัศวินเซนต์จอห์นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โบสถ์นี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองวัลเลตตา สร้างขึ้นในภายหลังที่เมืองวัลเลตตาได้เป็นเมืองหลวงของมอลตา การก่อสร้างโบสถ์นี้  นำโดยหัวหน้ากลุ่มอัศวัน  ชื่อ The Grand Master Jean de la Cassiere (มีอายุระหว่างปี ค.ศ. 1572 – 1481)  ผู้มอบหมายให้นักวิศวกรชาวมัลติส คือ นาย Gerolamo Cassar เป็นผู้ดำเนินการสร้าง  โบสถ์ใหญ่เซนต์จอห์นได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1578 โดยหัวหน้าบาทหลวง ชื่อ Ludovico Torres

        เมื่อดูจากภายนอกของโบสถ์ใหญ่เซนต์จอห์น จะเห็นความเรียบง่ายของลักษณะสถาปัตยกรรม แต่เมื่อเข้าไปข้างในแล้วจะเห็นการตกแต่งภายในของโบสถ์นี้เป็นไปอย่างสวยงาม วิจิตรตระการตาและยิ่งใหญ่อย่างมาก สถาปัตยกรรมการตกแต่งภายในเป็นลักษณะบาโรค ส่วนที่เป็นพื้นของโบสถ์ในห้องโถงใหญ่ทั้งหมดเป็นหินอ่อน มีภาพวาดลวดลายสวยงามมาก ข้างล่างของพื้นโบสถ์เป็นที่ ฝังศพของเซนต์ต่างๆ  ฝาผนังและเพดานภายในโบสถ์มีลวดลาย แกะสลักบนหินที่มีลักษณะเป็นมิติอย่างเห็นได้ชัดเจน และมีภาพเขียนฝาผนังที่มีลวดลายและทาด้วยสีต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีทองที่ทำจากทองคำเปลวทั้งหมด ทำให้ดูงดงาม ตระการตามากยิ่งนัก  ภายในโบสถ์ใหญ่เซนต์จอนห์แห่งนี้ นอกจากห้องโถงใหญ่ของโบสถ์เองแล้ว ยังมีห้องที่บรรจุเครื่องสักการะ (สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1598) ห้องเทศน์ ห้องฝังศพใต้ถุนโบสถ์ ระเบียงของโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และสวน ภายในโบสถ์ใหญ่มีพระรูป “Our Lady of Carafa” อยู่ใน Chapel of the Blesses Sacrament ที่คนเข้าไปสักการะบูชากันมาก

       พิพิธภัณฑ์เซนต์จอห์นที่อยู่ภายในโบสถ์ใหญ่เซนต์จอห์นมีภาพเขียนและพรมแขวนผนัง (Tapestries) ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติของโบสถ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โบสถ์นี้ทำหน้าที่  ในการประกอบพิธีหลักของกลุ่มอัศวินเซนต์จอห์น  ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีภาพวาดที่สำคัญอยู่  หลายชิ้น แต่ที่จะต้องกล่าวถึงคือภาพ “The Beheading of St John The Baptist”  นับเป็นภาพวาด   ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดภาพหนึ่งของโลก วาดโดยจิตรกรที่มีชื่อเสียงชาวอิตาเลียน คือ Caravaggio  (มีอายุระหว่างค.ศ. 1573 – 1610)  เป็นภาพที่ Caravaggio วาดขึ้นในปี ค.ศ. ๑๖๐๘ ซึ่งอยู่ในช่วงสุดท้ายของงานวาดภาพของเขาและได้รับกล่าวขานว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขาในช่วงนี้ ภาพนี้เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนแผ่นผ้าใบ มีขนาด 361 คูณ 520 เซนติเมตร  ความสำคัญของภาพนี้คือเป็นภาพเดียวในโลกของ Caravaggio ที่มีลายเซ็นต์ของเขา ซึ่งเป็นลายเส้นเล็กๆที่วาดต่อจากเลือดที่ไหลลงมาจากคอของ St John The Baptist หลังจากการประหาร  ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นภาพวาดที่มีลายเซ็นต์ที่เปรียบเสมือนประทับด้วยเลือด ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของประวัติศาสตร์การวาดภาพเลยทีเดียว ใครก็ตามที่ได้ไปเห็นภาพวาดนี้จะต้องยืนดูอยู่นานด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง

เกาะโกโซ (Gozo)

          เกาะโกโซ เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศมอลตา รองลงมาจากเกาะมอลตา  มีขนาดใหญ่ประมาณหนี่งในสามของขนาดเกาะมอลตา มีเนื้อที่ประมาณ 72 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 25,000 คน การเดินทางจากเกาะมอลตาไปยังเกาะโกโซ ต้องเดินทางโดยเรือโดยสารที่สามารถนำรถขึ้นเรือได้ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการเดินทาง  บนเกาะโกโซ มีบ้านเรือนอาศัยอยู่ตามเนินเขาและมีป้อมเก่าที่สร้างไว้ป้องกันบ้านของชาวนาในสมัยอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกเตอร์กและพวกที่รุกรานมาจากทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซี่งยังมีให้เห็นอยู่มาก  เมืองหลวงของเกาะนี้คือ วิคตอเรีย (Victoria) ซึ่งเป็นชื่อที่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษพระราชทานให้กับเมืองหลวงของเกาะโกโซ เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 50 ปีของพระองค์ในปี ค.ศ. 1887

         เกาะโกโซมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของมอลตามาก ดังเช่น วิหารศิลา Ggantija ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้มีป้อมปราการและกำแพงเมืองเก่าที่ยังคงเหลืออยู่ให้เห็นหลายแห่ง มีโบสถ์ใหญ่และเล็กอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบสถ์ที่ชื่อว่า Ta’Pinu ซึ่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เข้าใจว่าสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ตามตำนานที่เล่าขานมาว่าพระแม่มารีได้มีนิมิตให้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งได้ยินเสียง ดังนั้นจึงได้สร้างโบสถ์ขึ้นที่แห่งนี้เพื่อเป็นการบูชา พระแม่มารี ซึ่งเรียกกันว่า “Our Lady of Ta’Pinu”

        สถานที่สำคัญอีกแห่งที่น่าสนใจได้แก่ ป้อมปราการใหญ่ (Citadel) ซึ่งสร้างขี้นอยู่บนที่สูงของเกาะตั้งแต่สมัยยุคกลาง ภายในป้อมปราการใหญ่นี้มีที่อยู่ของผู้ปกครองเมืองในยุคนั้น มีคุกสำหรับทาสและนักโทษ และห้องที่เก็บอาวุธของอัศวิน นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดี และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นอยู่ด้วย  ส่วนทางตอนเหนือของเกาะโกโซมีถ้ำ ชื่อ คาริปโซ (Calypso’s Bay) ซึ่งมีทางเดินภายในถ้ำที่วกวน สลับซับซ้อนคล้ายเขาวงกตทีเดียว
                               

หมู่บ้านปอบอาย (The Popeye Village)

        มอลตามี “หมู่บ้านปอบอาย” (The Popeye Village) ซี่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1980 เพื่อสำหรับถ่ายภาพยนตร์ของบริษัทฮอลลีวูดเรื่องปอบอายที่ใช้คนแสดงจริงทั้งหมด หลังจากการถ่ายภาพยนตร์บริษัทฮอลลีวูดได้มอบให้เป็นสมบัติของมอลตา สำหรับการสร้างสถานที่การถ่ายทำหนังแห่งนี้เริ่ม ค.ศ. 1929 ซึ่งขณะนี้หมูบ้านปอบอายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในมอลตานี้

เครื่องแก้วมอลตา (Malta Glass)

       หลายคนคงได้ยินชื่อของเครื่องแก้วที่เมืองมูราโน (Murano) ของประเทศอิตาลีอยู่เสมอ เมื่อผู้เขียนได้เดินทางไปมอลตา จึงได้เห็นว่าประเทศนี้เองก็มีชื่อเสียงในเรื่องเครื่องแก้วด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้เครื่องแก้วของประเทศอิตาลีเลยทีเดียว ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูโรงงานทำเครื่องแก้วที่หมู่บ้านหัตถกรรม (Craft Village) ชื่อ โรงงาน Mdina Glass สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1968 และโรงงาน Valletta Glass สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1929 ทั้งสองแห่งนี้เป็นเครื่องแก้วที่มีชื่อเสียงที่สุดในมอลตา ลักษณะของเครื่องแก้วมอลตามีหลายรูปแบบ และใช้งานได้ในหลายประเภท ตั้งแต่เป็น เครื่องประดับ เครื่องใช้สอย โคมไฟ ชุดทานอาหาร ถ้วยแก้ว แจกัน และรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งเน้นสีสันที่สวยงามมาก โรงงานทั้งสองแห่งนี้มีช่างอยู่หลายคนที่มีฝีมือที่สร้างสรรค์และเทคนิคสูง อีกทั้งมีความละเอียดอ่อนทั้งในเรื่องการเป่า การแกะสลักและการให้สี เครื่องแก้วนี้เป็นของที่ระลึกได้ อย่างดียิ่งสำหรับผู้ที่ไปเที่ยวที่มอลตา

นาฬิกามอลติส  (Maltese Clock)

      นอกเหนือจากเครื่องแก้วแล้ว ประเทศมอลตามีชื่อเสียงในงานศิลปหัตถกรรมอีกอย่างหนึ่งคือ การทำนาฬิกา หรือที่เรียกว่า นาฬิกามอลติส (Maltese Clock) ซึ่งได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณปลายศตวรรษที่ 17 โดยช่างฝีมือทำนาฬิกามอลติสนี้ได้ถ่ายทอดความรู้และเทคนิคในการประกอบ การวาดลวดลาย  และการให้สีต่างๆ สืบทอดกันภายในตระกูลหลายชั่วคน นาฬิกามอลติสมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทำด้วยไม้และมีการวาดเป็นลวดลายสีต่างๆ เช่นลายดอกไม้ รูปสวน ทิวทัศน์ชนบทของมอลตา เป็นต้น นาฬิกาแต่ละเรือนจะมีสีหลักที่เป็นสีพื้นของนาฬิกา เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีขาว สีแดง และสีดำ ส่วนการวาดลวดลายลงบนสีหลักนี้ใช้หลายสีและมีการเขียนลายขอบของนาฬิกาแต่ละเรือนด้วยสีทองที่เด่นชัด นาฬิกามอลติสมีขนาดต่างๆ กัน สำหรับใช้ตั้งโต๊ะซึ่งมีขนาดเล็ก จนถึงขนาดแขวนกำแพงที่มีขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ เนื่องจากว่านาฬิกามอลติสทำด้วยมือทุกเรือน จึงทำให้แต่ละเรือนมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแม้ว่าลวดลายที่ดูผิวเผินจะเหมือนกัน

      นาฬิกามอลติสที่ทำขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 นั้น ส่วนใหญ่จะใช้ทองคำเปลวจริง และใช้กลไกในการหมุนของนาฬิกา ในปัจจุบันนี้สามารถหานาฬิกามอลติสที่วาดด้วยทองคำเปลวได้ในเฉพาะบางร้านของมอลตาเท่านั้น โดยเฉพาะที่เมืองวัลเลตตา และ เมืองเอมดินา โดยส่วนใหญ่ต้องสั่งทำล่วงหน้า ราคาของนาฬิกามอลติสนี้แพงมากทีเดียว ในระยะหลังช่างทำนาฬิกามอลติส  จึงได้ปรับเปลี่ยนการทาด้วยสีทองธรรมดา และเปลี่ยนการเดินเข็มของนาฬิกาเป็นระบบ ควอซ (Quartz) จึงทำให้ราคาของนาฬิกาไม่แพงมาก และกลายเป็นของที่ระลึกสำหรับคนที่ไปเที่ยวประเทศมอลตามากมาย

กลับไปหน้า 1

ข้อมูลและเอกสารอ้างอิง (References)

 1. “Insight Guides Malta” by APA Publications. Edition 2010

 2. “Malta and Gozo: History and Culture” by M.J. Publications Ltd, 2007

 3. “Malta Gozo and Comino” by Miller Distributors Limited, 2011

 4. “Malta: An Archaelogical Paradise” by M.J. Publications Ltd. Ninth Edition 2003

 5. “Gozo: The Island of Calypso” by Miller Distributors Limited

 6. “St Paul’s Catacombs: A Brief Guide” by Heritage Malta

 7. “Ggantija Temples: A Brief Guide” by Heritage Malta

 8.  ข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ

 9.  UNESCO World Heritage List: http://whc.unesco.org

10. Heritage Malta Website: www.heritagemalta.org

11. Wikipedia: The Free Encyclopedia’s Website

12. Mdina Glass factory: www.mdinaglass.com.mt

13. Valletta Glass factory: www.vallettaglass.com

14. Maltese Clock: www.malteseclock.com
 

จำนวนผู็อ่านบทความ  free hits